สาระดี ดีที่อยากบอกต่อ

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ Antioxidants คืออะไร 

สมัยนี้ๆ ใครๆ ก็พูดถึง สารแอนตี้ออกซิแดนท์ (antioxidant) หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ รู้กันหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วสารแอนตี้ออกซิแดนท์คืออะไรกันแน่

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถพบได้ในธรรมชาติในอาหาร ส่วนอนุมูลอิสระ (Free Radical) นั้น เป็นส่วนของโมเลกุลซึ่งมีพลังงานสูงและชอบที่จะไปจับคู่ ซึ่งการหาคู่นี้ทำให้เกิดการทำลายอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้น แล้วใส่จานทิ้งไว้บนโต๊ะโดยไม่มีอะไรปิดสักครู่ เนื้อแอปเปิ้ลก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล หรือถ้าวางแท่นเหล็กไว้กลางฝนก็จะมีสนิมเกิดขึ้นเหล่านี้เกิดจากการทำลาย ของอนุมูลอิสระนั้นเองที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสีของเนื้อแอปเปิ้ล และทำให้เหล็กเป็นสนิม และยังทำอันตรายให้แก่ร่างกายของเราได้อีกด้วย โดยปกติอนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นตลอดเวลาในร่างกายจากการหายใจ จากขบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) จากความเครียดหรือจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม สารกันบูดในอาหาร จากยาบางชนิด และรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นที่บริเวณผิวหนัง และทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ข้างเคียง ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพจึงทำให้แก่ก่อนวัย ถ้ามีอนุมูลอิสระมากจะก่อให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ และต้อกระจกเป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่สูบบุหรี่ตากแดดเป็นประจำ และมีความเครียดจะแก่เร็วกว่าวัย จากการศึกษาพบว่า อนุมูลอิสระบางชนิดนั้นไม่เป็นอันตรายและเซลล์เม็ดเลือดขาวใช้อนุมูล อิสระเหล่านี้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเซลล์มะเร็ง แต่ถ้ามีอนุมูลอิสระมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการมากก็จะเป็นอันตรายต่อร่าง กายได้


ร่างกายของเราจะมีขบวนการขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ 
คือ
ประเภทแรก
จะยับยั้งหรือป้องกันการเกิดสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ เอ็นไซม์ superoxide dismutase, glutathione peroxidase, catalase, peroxidase, cytochrome C peroxidase ทองแดง สังกะสี เซเลเนียม โปรตีนซึ่งมีทองแดงอยู่ในโมเลกุลคือ ceruloplasmin
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง (สำคัญ)

คือ แอนติออกซิแด้นท์ ซึ่งทำลายปฏิกริยาลูกโซ่ของการเกิด reactive oxygen species หรือ ROS เนื่องจากเวลาเกิด ROS จะเกิดเป็นปฏิกริยาลูกโซ่ต่อเนื่องกันไปได้สารเหล่านี้หลายๆ ตัว แอนติออกซิแด้นท์ในกลุ่มที่ทำลายปฏิกริยาลูกโซ่นี้ได้แก่ วิตามินอี เบต้า-แคโรทีน วิตามินซี ubiquinone, uric acid, bilirubin, albumin, sulfhydryl groups ในกรดอะมิโน cysteine ซึ่งมีอยู่ในโปรตีนเช่น เนื้อสัตว์ นอกจากวิธีนี้ยังมี melatonin, oligomeric proanthocyanidins (OPCs), flavanoids เป็นต้น แอนติออกซิแด้นท์บางตัวในกลุ่มนี้น่าสนใจ เพราะเราสามารถได้รับจากอาหารได้ ตัวอย่างเช่น antioxidant vitamins ได้แก่ วิตามินอี ซึ่งพบมากในน้ำมันพืชเช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง วิตามินอีช่วยป้องกัน peroxidation ของไขมันได้ดีจึงเป็น antioxidants ที่ดีในการลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่วนเบต้า-แคโรทีน และ carotenoids อื่นๆ ที่พบในสารอาหารตามธรรมชาติเป็น antioxidants ที่ดีในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง แต่ทั้งนี้ร่างกายจะต้องไม่ขาด antioxidant vitamins ตัวใดเลย (รวมทั้งวิตามินซีด้วย) เบต้า-แคโรทีนและ carotenoids มีมากในผลไม้และผักที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก กล้วย ฟักทอง มะเขือเทศ มันเทศ แครอท ส้ม สับปะรด แตงโม แคนตาลูป ในผักและผลไม้ที่มีสีเขียวก็มีปริมาณเบต้า-แคโรทีนสูง เช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักกะเฉด ผักคะน้า กะหล่ำปลี และฝรั่ง lycopene ซึ่งเป็นสารสีแดงที่พบในผลมะเขือเทศและแตงโม มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างออกซิเจน วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ ในกลุ่มส้ม รวมทั้งน้ำผลไม้ที่มีการเติมวิตามินซี แต่เนื่องจากวิตามินซีถูก oxidised ได้เร็วในอากาศปริมาณจึงลดลงโดยเร็ว ดังนั้นความสดของผลไม้และผักจึงเป็นสิ่งสำคัญ ส่วน Melatonin นั้น เป็น antioxidant ที่ดี ปกติต่อม pineal gland ในสมองจะหลั่งฮอร์โมน melatonin ในเวลากลางคืนทำให้นอนหลับ เราสามารถเพิ่มปริมาณ melatonin ในสมองได้ด้วยการกินอาหารที่มีกรดอะมิโน tryptophan สูง เช่น งา ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรือผักซึ่งแม้จะมีกรดอะมิโน tryptophan ไม่สูงเท่าถั่วเมล็ดแห้งที่กล่าวมาแล้ว แต่หาง่ายและเรารับประทานกันอยู่เสมอๆ เช่น ขี้เหล็ก ชะอม ถั่วงอก ใบชะพลู ใบโหระพา ที่แนะนำอย่างนี้เนื่องจาก pineal gland สามารถสร้าง melatonin จากกรดอะมิโน tryptophan ได้ ส่วนสารกลุ่ม Oligomeric proanthocyanidins (OPCs) นั้น เป็นพวก Flavonoids พบได้ในอาหารหลายชนิดรวมทั้งสมุนไพร ตัวอย่างสารกลุ่มนี้คือ pycnogenol จากเมล็ดองุ่นและเปลือกของต้นสน Flavonoids ชนิดอื่นๆ จัดเป็น antioxidants ที่ดีด้วย เช่น catechin ในชาเขียว ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ทราบหรือไม่ว่า ซีลีเนียม ทองแดง และสังกะสี เป็น antioxidants ทางอ้อม เนื่องจากเป็นส่วนประกอบของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่เป็น antioxidants มีการศึกษาวิจัยที่แสดงว่าการให้ซีลีเนียมและวิตามินอีร่วมกันช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของการป้องกันการเกิด โรคมะเร็งบางชนิด ที่กล่าวมานี้เป็นตัวอย่างของ antioxidants ซึ่งพบได้ในอาหารตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีการพยายามค้นหา antioxidants ใหม่ๆ ในพืช ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

สรุป ก็คือเราควรหลีกเลี่ยงการได้รับสารอนุมูลอิสระจากอาหารและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมลพิษ ควรเพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ ซึ่งมีส่วนประกอบของ antioxidants หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง antioxidant vitamins ซึ่งได้แก่ วิตามินอี เบต้า-แคโรทีน และวิตามินซี นับเป็นการช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคมะเร็งบางชนิด Alzheimer's disease หรือโรคความจำเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ โรคความแก่ เป็นต้น




ผลิตภัณฑ์ อาหารเพื่อสุขภาพ เสริมความงาม
โภชนาการ FoodMatrix (ฟู้ดแมทริกซ์) และ นาโนเทคโนโลยี เพื่อสุขภาพด
ที่ จะทำให้คุณดูดีขึ้นจนน่าแปลกใจ ภายในเวลาไม่นาน คุณไม่ต้องกังวลต่ออาการ โยโย่เอฟเฟกต์ หรือการกลับมาอ้วนอีก หรือมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพและความสวยความงามของคุณ เพราะผลิตภัณฑ์ อาหารเพื่อสุขภาพ ใน ดูดีน่ารัก ดอทคอมสกัดจาก พืช ผัก สมุนไพรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ 100 % ด้วยนวัตกรรม FoodMatrix (ฟู้ดแมทริกซ์)และ นาโนเทคโนโลยี ซึ่งปราศจากส่วนผสมของยาและสารเคมี ปลอดภัยแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องทานอย่างต่อเนื่อง

FoodMatrix (ฟู้ดแมทริกซ์)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารเพื่อสุขภาพ วิตามินบำรุงร่างกาย แคลเซียมบำรุงกระดูก ที่ผลิตจากนวัตกรรม FoodMatrix (ฟู้ดแมทริกซ์) และ นาโนเทคโนโลยี ส่งผลต่อสุขภาพความงามอย่างไร ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง บำบัดโรค เช่น เบาหวาน มะเร็ง ภูมิแพ้ กระดูกพรุน วัยทอง SLE ฯลฯ มีผิวสวย สดใส สุขภาพดี ได้อย่างไร และทำไมอาหารเพื่อสุขภาพสูตรฟู้ดแมทริกซ์(FoodMatrix)ถึงได้รับรางวัล โนเบลการันตี


สวยใสและดูดี
มีหรือที่คุณผู้หญิงจะไม่ชอบ

สาวรักผิว สวยใส และดูดี

   ใบหน้า คือสิ่งแรกที่มองเห็นเด่นชัด ปราการด่านแรกที่จะสร้างความรู้สิึกประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น การที่มีผิวหน้าสุขภาพดี เนียน สดใส จะทำให้คนที่พบปะพูดคุยเกิดความประทับใจ ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการมีผิวหน้าที่ดี ควรเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี ซึ่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ดีต้องสามารถชำระล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคล และไขมันส่วนเกินที่ติดผิวชั้นนอกได้สะอาดหมดจด โดยไม่ไปสร้างความระคายเคืองและทำลายระบบสมดุลของน้ำหล่อเลี้ยงผิว ซึ่งเป็นสาเหตุุที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน จุดด่างดำ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธ รวมถึงการดูแลสมดุลย์ของผิวหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ คือ ทางออกของความ สวย ใส ดูดี ที่คุณผู้หญิงปรารถนา
ขอแนะนำโปรแกรมทำความสะอาด และคืนความอ่อนเยาว์สู่ผิวหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม สองขั้นตอนง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง กับ เรเดียนซ์ เอนฮาร์นทซิ่ง คลีนเซอร์(Radiance Enhancing Cleanser) และเรเดียนซ์ นอนเซอร์จิคอล เดอร์มา ลิฟท์ (Radiance Non Surgical Derma Lift)

ขั้นตอนที่1 : บีบ เรเดียนซ์ เอนฮาร์นทซิ่ง คลีนเซอร์ ไว้ที่ปลายนิ้ว ลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า โดยเริ่มจากส่วนล่างของลำคอ ไล่ขี้นด้านบนตลอดจนถึงส่วนบนสุดของหน้าผาก แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
เรเดียนซ์ เอนฮาร์นทซิ่ง คลีนเซอร์ (Radiance Enhancing Cleanser) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดสาเหตุของริ้วรอย เหี่ยวย่น และความเสื่อมสภาพของผิวหนัง ถูกออกแบบให้สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผลิตภัณฑ์ เรเดียนซื นอน ฌวอร์จิคอล เดอร์มา ลิฟท์ (Radiance Non Surgical Derma Lift) ด้วนส่วนผสมจากธรรมชาติที่จะช่วยให้ผิว สะอาด สดใส ไม่ระคายเคือง ประกอบด้วย

สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe Vera Gel) ช่วย ปกป้องผิวจากการระคายเคืองต่าง ๆ กำจัดความแห้งกร้านของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื่น นุ่มนวล และมีฤทธิ์ในการเสริมสร้างชั้นหนังแท้ ซื่งเป็นชั้นที่ประกอบด้วย คอลลาเจน อีลาสติน ที่ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ทำให้ผิวเต่งตึงและกระชับ ป้องกันผิวเหี่ยวย่น รอยตีนกา และช่วยขะลอความเสื่อมของผิว

โฟลีฟีนอล (Red Wine Polyphenol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากธรรมขาติ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลาเจนและอีลาสติน จึงทำให้ผิวแข็งแรงและดูรียบเนียนขึ้น
น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากพืชที่อุดมไปด้วยกรดไขมัน และวิตามินจำนวนมาก รวมถึงคอลลาเจนที่ผิวหน้าต้องการ และยังสามารถทำความสะอาดเครื่องสำอางค์ได้อย่างหมดจด โดยไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน และไม่สร้างความระคายเคืองต่อผิว
โพรพีลีน ไกลคอล (Propylene Glycol) เพิ่มการดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 2 : บีบเรเดียนซ์ นอน เซอร์จิคอล เดอร์มา ลิฟท์ ไว้ที่ปลายนิ้ว ลูบไล้ให้ทั่วบริเวณที่ต้องการพอก เริ่มจากส่วนล่างบริเวณลำคอ ไล่ขึ้นด้านบนและออกไปทางด้านข้างของแก้มทั้งสองข้าง บริเวณหน้าผาก ไล่ขึ้นด้านบน ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 20-25 นาท แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
เรเดียนซ์ นอน เซอร์จิคอล เดอร์มา ลิฟท์ (Radiance Non Surgical Derma Lift) ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความเต่งตึง ยกกระชับผิวทุกส่วนโดยไม่ต้องศัลยกรรม ลบรอยเหี่ยวย่น รอยด่างดำ เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และออกซิเจนใต้ผิวหนัง ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ที่จะคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ประกอบด้ว
กรดอะมิโน (Silk Amino Acids) เป็นส่วนประกอบของโปรตีน อันเป็นส่วนแระกอบที่สำคัญของเซลในร่างกาย ด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว จึงช่วยฟื้นฟูและเน้นการเจริญเติบโตของเซลผิวหนัง ปรับสภาพผิว ช่วยการยึดจับน้ำไว้ให้คงอยู่กับผิวทำให้ลดการสูญเสียออกไปจากผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
สารสกัดจากสมุนไพร (Herbal Blend Extracts) อุดม ไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิวซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำหล่อเลี้ยงผิว บำรุงผิวให้ชุ่มชื่น อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง ทำให้ผิวสดใสเนืยนนุ่มน่าสัมผัส
สารทีอาร์เอฟ (TRF) ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าให้กระชับ เพิ่มออกซิเจน และการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนัง

คุณสมบัติของชุดผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ดี

- ช่วยลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และลดรอยด่างดำ
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่
- ช่วยฟื้นฟู ผลัดเซลเสื่อมสภาพ และสมานผิว
- ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์และสดใส
- ช่วยดึงตัว และยกกระชับผิวหน้า
- เพิ่มออกซิเจน และการไหลเวียนของเลือด บริเวณใบหน้า
- ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนบนใบหน้าอย่างล้ำลึก


ผลิตภัณฑ์แนะนำ 

ยกกระชับ ผิวหน้า Step 1 Radiance Enhancing Cleanser
ยกกระชับ ผิวหน้า Step 2 Radiance Non Surgical Derma Lift


 ขอขอบคุณ aragonnetwork



ครีมกันแดด
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร


ครีมกันแดด UV Base Protect SPF 35+++


ครีมกันแดด

หนทางหนึ่งในการ ป้องกันผิวสวยจากแสงแดด ต้นเหตุความหมองหม่นบนผิวสวยและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย คือการทาครีมกันแดด โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง
ค่า SPF ที่ว่าคืออะไร
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือ ค่าการกันแดด  ซึ่งแสดงว่าครีมนั้นมีความสามารถในการป้องกันแดดได้ดีเพียงใด ครีมกันแดดที่มีค่าSPF๒ หมายความว่าเมื่อทาครีมกันแดดตัวนี้แล้ว จะป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเวลานาน ๒ เท่าเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ทายา  สมมุติว่าถ้าไม่ได้ทาครีมกันแดด แล้วออกไปสัมผัสแสงแดดเป็นเวลา ๑๐ นาที จึงเริ่มมีผื่นแดง ซึ่งเป็นอาการของผิวไหม้แดด หากทาครีมกันแดดแล้วต้องใช้เวลานาน ๒ เท่าคือ ๒๐ นาที จึงจะเริ่มไหม้แดด
ดังนั้น ยิ่งค่า SPF ยิ่งสูง ประสิทธิภาพการกันแดด จะสูงขึ้น มีฤทธิ์ป้องกันยาวนานขึ้น  แนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่กันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB โดยทั่วไปควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 หรือมากกว่า แต่ก็ขึ้นกับความเข้มของรังสียูวี และลักษณะผิวด้วย ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะป้องกันรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผิวได้ร้อยละ ๙๓ ซึ่งเพียงพอที่จะป้องกันแสงแดดในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าต้องเล่นกีฬากลางแจ้งนานๆ หรือมีเหงื่อออกมาก หรือไปว่ายน้ำกลางแดด อาจใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เช่น SPF 30 และเป็นครีมกันแดดชนิดกันน้ำ(water resistant)                                                            
ควรทาครีมกันแดดมากแค่ไหน และควรทาซ้ำบ่อยเพียงใด
ปริมาณครีมกันแดดที่เพียงพอสำหรับทาผิวหน้า แขน ขา และลำตัวด้านบนอย่างทั่วถึง คือประมาณ  ๑ ฝ่ามือ ควรทาครีมกันแดดให้ทั่วทุกตำแหน่งที่สัมผัสแสงแดด ต้องทาล่วงหน้า ๓๐-๖๐ นาที ก่อนออกไปสัมผัสแสงแดด และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ ๒ ชั่วโมง แต่ถ้าว่ายน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หรือเหงื่อออกมาก ก็ต้องทาครีมกันแดดซ้ำบ่อยขึ้น เช่น ทุก ๑ ชั่วโมง และควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่กันน้ำ
ทาครีมกันแดดแล้วแสบตามาก จะทำอย่างไร
คำถามนี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นกอล์ฟ หรือเล่นกีฬากลางแจ้งนานๆ ที่ต้องทาครีมกันแดดหนาๆ บางครั้งเหงื่อไหลเข้าตาจะแสบตาจนน้ำตาไหล การทาครีมกันแดดที่ใบหน้านั้นไม่ควรทาชิดดวงตาเกินไป ให้เว้นระยะไว้สักครึ่งนิ้ว และควรมีผ้าซับใบหน้าเวลาที่เหงื่อออกมาก ๆ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและรอบตา เพราะถ้าเหงื่อออกจะละลายครีมกันแดดมาเข้าตา ทำให้แสบตามาก  บางคนเลือกที่จะทาครีมกันแดดที่หน้าผากบางๆ หรือใช้หมวกป้องกันแสงแดดร่วมด้วย  การใส่หมวกป้องกันแดดให้ได้ผลดีนั้น หมวกควรมีขอบหรือปีกกว้างขนาด ๔ นิ้วรอบศีรษะ 

ทาครีมกันแดดแล้วขัดขวางการเล่นกีฬาจริง 

หรือ  

การทาครีมกันแดดบางครั้งอาจทำให้เล่นกีฬาไม่ได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งมีผลมาจากเนื้อครีมกันแดดทำให้มือลื่น จับอุปกรณ์กีฬา เช่น ไม้ปิงปอง ไม้แบดมินตัน ไม้กอล์ฟ ไม่ถนัด เนื้อครีมกันแดดยังทำให้ร่างกายหลั่งเหงื่อได้ลดลง  ซึ่งการหลั่งเหงื่อของร่างกายนั้นเป็นการระบายความร้อน ในร่างกายที่เกิดขณะออกกำลังกาย เมื่อระบายความร้อนไม่ได้ อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นและสมรรถภาพของร่างกายจะต่ำลง  สำหรับนักกีฬาจึงอาจจำเป็นต้องเลือกครีมกันแดด ที่มีเนื้อครีมซึมซาบผิวที่ดีซึ่งไม่ขัดขวางการหลั่งเหงื่อ
ผลเสียของครีมกันแดดต่อร่างกาย
บางรายอาจเกิดปฏิกิริยาเฉพาะที่บริเวณจุดที่ทาครีม กันแดด ได้แก่ ผิวแพ้สัมผัส ระคายเคือง และปฏิกิริยาแพ้ แสงแดด สารเคมีซึ่งทำให้เกิดข้อแทรกซ้อนได้บ่อย คือ PABA, เบนโซฟีโนน (benzophenones), ซินนาเมต (cinnamates) และเมโทรซีดีเบนซอยเมแทน (methoxydi-benzoylmethane)
ส่วนครีมกันแดดที่ ออกฤทธิ์ทางกายภาพ (physical sunscreen) มีเนื้อยาเหมือนแป้ง ซึ่งมีส่วนผสมของ titanium dioxide และ zinc oxide จะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะกับคนที่เคยแพ้ครีมกันแดดชนิดอื่นมาก่อน
 
  • คอลัมน์: ผิวสวย หน้าใส
  • Keyword: SPF
  • หมวดหมู่: ดูแลสุขภาพ, ยาและวิธีใช้
  • ผู้เขียน: นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
ขอขอบคุณ aragonnetwork.blogspot.comที่เอื้อเฟื้อข้อมูล


กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 1 

: ความอ้วนมาจากไหน

ปาก กับใจตรงกัน เมื่อไหร่ แล้วคุณไม่รู้จักยับยั้ง รับรอง ความอ้วน คงไม่หนีไปไกลจากตัวคุณแน่ ก็เพราะตามใจปาก ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ สุดท้ายก็เลยต้องศึกษาหาโปรแกรมการลดน้ำหนักมาปรับน้ำหนักตัวเองลง

ธิติมา ปฏิพิมพาคม
ใน ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ มีทั้งสื่อที่เป็น วีดีโอ ซีดี วีซีดี หนังสือ สถาบันลดน้ำหนักซึ่งถ้าลองทำอย่างจริงจังตั้งใจแล้วรับรองว่าได้ผลแน่นอน อย่างเราเป็นประชาชนคนอ้วนธรรมดาๆ ถ้าคิดจะลดน้ำหนักก็ควรเลือกโปรแกรมการลดน้ำหนักที่เป็นตัวเองจริงๆ หรือถ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายก็ควรจะเสียอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ปลอดภัย ได้ผลมากที่สุด ก่อนอื่นถามใจคุณดูก่อนว่าเอาแน่ไหม
ว่ากันว่าการลด น้ำหนักให้ได้ผลนั้น ต้องมีความตั้งใจจริง สำคัญที่สุด นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเคร่งวินัยกับตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเสียมาก การลดน้ำหนักจึงเป็นงานท้าทายที่คุณจะต้องสร้างวินัยและเคร่งครัดกับตัวเอง ในการต่อสู้กับความเคยชินโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
หัวใจสำคัญของการลด น้ำหนักคือ การควบคุมอาหารให้ถูกวิธี ห้ามอดอาหาร แต่ให้ เลือก หรือจำกัดชนิดอาหารที่มีผลต่อน้ำหนัก เพิ่มการออกกำลังกายและต้องทำสม่ำเสมอ หากต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก ต้องใช้ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
ในชีวิตจริงเราใช้ เครื่องทุ่นแรงกันตลอดเวลา พลังงานจึงถูกใช้น้อย ส่วนที่เกินจึงสะสมไว้ในร่างกาย เวลาที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะเลือกว่าต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่มาจากแป้ง น้ำตาล ที่กินเข้าไป หรือร่างกายจะนำไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้เป็นพลังงาน ถ้าใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติมก็จะทำให้ ร่างกายผอมลง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ที่ทำควรมากกว่า 15 นาที เพื่อให้ร่างกาย
มีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคุณได้ออกกำลังเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็มีส่วนช่วยกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูงเป็นรายการแถมมาจากน้ำหนักที่ลดลง
การ ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ง่ายและไม่ทันใจ แต่วิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซึ่งให้ผลระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความเต็มใจที่จะเปลี่ยนนิสัยการกิน ควบคุมอาหาร การใช้พลังงานร่วมกับการออกกำลังกายด้วย

ความอ้วน มาจากไหน
จะเห็นว่าคนที่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปกติได้ มักจะเป็นผู้ที่มีการควบคุมพฤติกรรมการกิน และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มๆ ลดๆ ที่เรียกว่า โยโย นั้น หลังจากเลิกควบคุมอาหารแล้ว มักจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าลด เนื่องจากพยายามลดน้ำหนักแต่ทำได้ไม่สม่ำเสมอ ความจริงแล้วในช่วงแรกที่น้ำหนักลดส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของน้ำในร่างกาย ระยะต่อมาถึงจะเป็นส่วนไขมัน ส่วนที่พลอยลดไปกับไขมันด้วยโดยไม่ตั้งใจคือกล้ามเนื้อซึ่งเป็นโปรตีน หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่ หากไม่ปฏิบัติต่อจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นคือ ไขมันไม่ใช่โปรตีน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นจึงต้องออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร เป็นการเพิ่มการป้องกันไม่ให้โปรตีนในกล้ามเนื้อลดลง การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันมากกว่า พลังงานจากโปรตีนในกล้ามเนื้อ และเท่ากับเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายด้วย 
อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก ต้องการลดปริมาณไขมันลงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากคิดน้ำหนักของสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แล้วไขมันจะให้พลังงานมากเป็น 2 เท่าของอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต คือ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรีคาร์โบไฮเดรต1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี และโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรีเช่นกัน

พลังงาน จากไขมันในอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันในร่ายกายได้ง่ายกว่าพลังงานจากโปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต กรณีที่ร่างกายได้รับพลังงานเกิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต พลังงาน 2 ส่วนที่เกินนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก แต่ประสิทธิภาพการสะสมไขมันจาก อาหารไขมันนั้นมีมากกว่า ดังนั้นในบางคนการลดอาหารไขมันที่อยู่ในอาหารจะช่วยลดพลังงานลงได้โดยไม่จำ เป็น ต้องลดปริมาณอาหาร ถ้าอาหารนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำและมีเส้นใยอาหารสูงในแต่ละมื้อ
การ ลดปริมาณไขมันในอาหารไม่ง่ายนัก เพราะคนที่รับประทานอาหารประเภทไขมันมากมักจะชอบและ คุ้นเคยกับรสชาติ ฉะนั้น ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากที่เคยบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก ๆ มาเป็นอาหารที่มี ไขมันน้อยลง น้อยลง จึงควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นวิธีที่จะได้ผลมากกว่าการที่จะงดไขมัน ทันที เนื่องจากต้อง อดทนใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับรสชาติที่ไม่คุ้นเคย 
ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน
ลดน้ำหนัก สูตรใหม่ Srim d'lite + TonePM
ลดน้ำหนัก ด้วยกาแฟ สูตรใหม่ coffee d'lite

 
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
 
"ยาลดความอ้วน" แบ่งได้เป็น 8 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.ยาทำให้ไม่อยากอาหาร
ยากลุ่มนี้เมื่อรับประทานแล้วจะมีผลทำให้รูสึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายรับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังมีฤทธิ์เพิ่มกลูโคสใน กล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายเบา ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันและกรดไขมันอีกด้วย

2.ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออก จากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการรีดน้ำหนักให้เท่ากับพิกัดในระยะเวลาสั้น ๆ โดยมากแพทย์จะใช้ยานี้ในการักษาโรคความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ เป็นต้นยาเหล่านี้หากใช้ในระยะเวลา อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่และน้ำไปทางปัสสาวะ แต่ยากลุ่มนี้บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะที่สามารถสงวนเกลือแร่บางอย่าง โดยเฉพาะโปแตสเซียมได้ จึงทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจาการขาดเกลือแร่ลดลง

3.ยาฮอร์โมน
โดยมากมักจะเป็น ”ธัยรอยด์ฮอร์โมน” ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้น น้ำหนักก็ลดลง แต่หากใช้ยาในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการใจสั่น เหงื่อออกมาก หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้

4.ยาระบาย หรือยาถ่าย
ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัว หรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่าย และอุจจาระจะค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก

5.ยาลดกรด
ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว น้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม(Aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานาน ๆเช่น ท้องผูก หรือขาดสารอาหารบางอย่าง เนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ Fluoride และ Phosphate เป็นต้น

6.ยาหรือสารเคมีที่ผลิตจากใบพืช
มักจะอยู่ในรูปอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ สาวนประกอบทั่วๆ ไปคือ เส้นใยอาหาร สารอาหารอื่น ๆ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน รวมทั้งเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆเพื่อนำไปรับประทานอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารได้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาณของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานอาหารอื่นได้น้อยลง และอิ่มเร็วขึ้น ปัจจุบันมีการปรุงแต่งอาหารเหล่านี้ทำให้น่ารับประทานมากขึ้น มีทั้งที่เป็นอาหารของสำหรับชงดื่ม คุกกี้ ขนมเค้ก เวเฟอร์ เม็ดหรือแคปซูล ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาณแคลอรี่แตกต่างกัน มักจะระบุไว้ที่ฉลาก ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วน และเลือกรับประทานอาหารเหล่านั้นแทน ก็ควรพิจารณาเกี่ยวกับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน ก็จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เส้นใยอาหารยังช่วยขัดขวางการดูซึมของไขมัน ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติด้วย

7.สารสกัดจากส้มแขก
ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนักสารสกัดที่ สำคัญที่ว่า คือ ไฮดรอกซีซิตริแอซิด(Hydroxycitic Acid) หรือที่เรียกย่อ ๆว่า HCA ซึ่ง อย. รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะของ”ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร”แต่ไม่ได้รับรองสรร รพคุณในแง่ลดความอ้วน ที่มาที่ไปของสารที่เรียกว่า HCA ที่ว่านี้คือเมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ Brandeis ได้ค้นพบ HCA ในส้มแขกสามารถยับยั้งการทำงานเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรด ไขมันและโคเลสเตอรอลได้ เมื่อประกาศการค้นพบนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆหลายคนก็เริ่มสนใจ HCA ในแง่การลดไขมันและโคเลสเตอรอล จากจุดนี้เองที่ทำให้มีการศึกษาอย่างจริงจัง และพบว่า HCA ไม่ใช่กรดผลไม้ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแป้งจากอาหารไป เป็นไขมันได้ ในภาวะปกติ เมื่อรับประทานอาหารจำพวกอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็น กลูโคส ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป กลูโคสที่เหลือก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน โดยอาศัยเอ็นไซม์ที่ชื่อ ATP-Citrate Lyase ไขมันที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย ซึ่งหากรับประทาน HCA เข้าไป ก็จะมีผลไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ว่านี้ ดังนั้นแทนที่กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นไกลโคเจนแทน สะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดไขมันในเลือดและโคเลสเตอรอลได้ แต่ในแง่การลดความอ้วนแล้ว จะพบว่า HCA มีผลในการลดน้ำหนักตัวน้อย หรือไม่เห็นผลเลย สาเหตุที่ไม่ได้ผลอาจจะเป็นเพราะ HCA ยับยั้งเฉพาะอาหารประเภทแป้งได้เท่านั้น ดังนั้นหากรับประทานไขมันเข้าไป HCA ก็ไม่มีผลอะไรเลย

8.แอบซอร์บิทอล(Absorbital)
ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไคโตซาน(Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์เช่น เปลือกกุ้ง หรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้โคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธ์ของโคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีใน ทางเดินอาหารของมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า”แอบซอร์บิทอล” หรือ L112 ไบโอโพลิเมมอร์ (Enhance Chitosan Derivative)แอบซอร์บิทอลจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก ๆที่มีพื้นผิวสูงสามารถถูกจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน และสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอล ในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และวิตามินบางชนิดในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมันได้ เช่น เอ, ดี, อี และเค แอบซอร์บิทอลจึงมีประโยชน์ในการลดการดูดซึมไขมันที่ได้จากอาหารที่รับประทาน เข้าไป แต่ในคนที่ต้องการลดความอ้วนซึ่งไขมันสะสมอยู่มากมายตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย ซึ่งแอบซอร์บิทอลไม่สามารถกำจัดได้ จึงจำเป็นต้องออกกำลังกายควบคู่กันไป เพื่อให้ร่างกายใช้พลังมากขึ้น จึงจะมีการเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลงและที่สำคัญก็แอบซอร์บิทอลไม่ได้มี ส่วนในการกำจัดสารอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารพวกโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าแอบซอร์บิทอลจะช่วยกำจัดไขมันก็ตาม แต่หากต้องการจะลดน้ำหนักก็ควรจะควบคุมการรับประทานอาหารให้น้อยลงและหมั่น ออกกำลังกายอยู่เสมอ จึงจะสามารถลดน้ำหนักได้
อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผล ไม่ได้อยู่ที่การใช้ยา แต่หัวใจของการลดน้ำหนักอยู่ที่การควบคุมอาหารและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภค การใช้ยาเป็นสิ่งที่ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนักแล้ว การหยุดยาอาจทำให้กลับมาอ้วนได้อีกหากยังไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยการบริโภค

แหล่งที่ม : Ladytip.com